28 ธ.ค. 2554

โปรแกรมอรรถประโยชน์

1. โปรแกรมอรรถประโยชน์ ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง
     เป็นโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยสนับสนุน / เพิ่มขีดความสามารถของโปรแกรมใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  
2. โปรแกรมอรรถประโยชน์ แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่.... ? แต่ละชนิดทำหน้าที่อะไร
     ก. โปรแกรมอรรถประโยชน์สำหรับระบบปฏิบัติการ   : มักเป็นโปรแกรมที่ติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว เช่น โปรแกรมจัดการไฟล์ โปรแกรมยกเลิกการติดตั้ง โปรแกรมสแกนดิสก์  โปรแกรมจัดเรียงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
     ข. โปรแกรมอรรถประโยชน์อื่น ๆ    เป็นโปรแกรมเสริมการทำงานอื่นๆ นอกเหนือจากโปรแกรมอรรถประโยชน์สำหรับระบบปฏิบัติการ เช่น โปรแกรมป้องกันไวรัส โปรแกรมบีบอัดไฟล์ เป็นต้น

3. ตัวอย่างโปรแกรมโปรแกรมอรรถประโยชน์สำหรับระบบปฏิบัติการ
    3.1 โปรแกรมจัดการไฟล์ (File manager) เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการไฟล์ต่าง ๆ เช่น การคัดลอกไฟล์ การเปลี่ยนชื่อไฟล์ การลบไฟล์ การเรียกใช้โปรแกรมต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก  เป็นต้น นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ ๆ ได้เพิ่มความสามารถการแสดงไฟล์เป็นรูปภาพเหมือนจริง ทำให้การใช้งานโปรแกรมมีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

    3.2  โปรแกรมยกเลิกการติดตั้ง (Uninstaller) เป็นโปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรมที่ติดตั้งไว้  หรือเป็นโปรแกรมลบโปรแกรมที่ติดตั้งไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง โดยส่วนใหญ่บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์จะติดตั้งโปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรมไว้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมประยุกต์เหล่านั้นอยู่แล้ว

    3.3 โปรแกรมสแกนดิสก์ (Disk Scanner) เป็นโปรแกรมสำหรับตรวจสอบหาความเสียหายที่เกิดกับฮาร์ดิสก์  คือ เมื่อใช้ฮาร์ดิสก์เป็นเวลานาน มักเกิดส่วนที่เสียหายเรียกว่า bad sector ส่งผลให้การทำงานของฮาร์ดดิสก์ช้าลง หรือทำให้การบันทึกหรือเขียนข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ยากขึ้น ดังนั้นผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมดังกล่าวตรวจสอบฮาร์ดดิสก์เพื่อค้นหาความเสียหายไฟล์ที่มีข้อผิดพลาด และซ่อมแซมได้

    3.4โปรแกรมจัดเรียงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ (Disk Defragmenter)  ทำหน้าที่จัดเรียงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บบนฮาร์ดดิสก์ให้เป็นระเบียบเพื่อความรวดเร็วในการเรียกใช้งาน  กล่าวคือ เมื่อมีการใช้งานฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์นั้นอยู่บ่อย ๆ ไฟล์จะถูกจัดเก็บกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบและไม่ได้อยู่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เมื่อจะเรียกใช้ภายหลังจะทำให้เสียเวลาในการดึงข้อมูลนั้น ๆ ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรม disk deflagment ช่วยได้

    3.5 โปรแกรมรักษาหน้าจอ ( Screen saver) เป็นโปรแกรมสำหรับรักษาและช่วยยืดอายุการใช้งานจอภาพของคอมพิวเตอร์ กล่าวคือ การเปิดจอภาพของคอมพิวเตอร์ให้ทำงานและปล่อยทิ้งไว้ให้แสดงภาพเดิมโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดรอยไหม้บนสารเรืองแสงที่ฉาบผิวจอ และไม่สามารถลบหายไปได้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้อายุการใช้งานหน้าจอสั้นลง โปรแกรมดังกล่าวนั้นเราสามารถตั้งค่าระยะเวลาให้โปรแกรมตรวจสอบและเริ่มทำงานได้ หากไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆของจอภาพ และเมื่อเราเริ่มทำงานใหม่โปรแกรมนี้ก็จะปิดตัวเองอัตโนมัติ

4. ตัวอย่างโปรแกรมโปรแกรมอรรถประโยชน์ด้านอื่น ๆ
    4.1  โปรแกรมป้องกันไวรัส (anti virus program)  โปรแกรมไวรัสเป็นโปรแกรมที่ผู้ไม่ประสงค์ดีพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กัน เช่น ทำลายระบบปฏิบัติการ ทำลายข้อมูล  รบกวนการทำงาน เช่น ทำให้ระบบบูตเครื่องช้าลง  เข้าโปรแกรมได้ไม่สมบูรณ์  คอมพิวเตอร์ค้าง มีข้อความรบกวนขึ้นมาบนจอภาพ เป็นต้น    โปรแกรมประเภทนี้อาจแบ่งเป็น 
              4.1.1 Anti virus  เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่ว ๆ ไป โปรแกรมนี้จะค้นหาและทำลายไวรัสในเครื่องคอมพิวเตอร์  ตัวอย่างโปรแกรม เช่น  McAfee VirusScan  , Kaspersky ,  AVG Antivirus  เป็นต้
              4.1.2 Anti spyware  เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูลจากไวรัสสปายแวร์และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงกำจัดแอดแวร์ ซึ่งเป็นป๊อบอัพการโฆษณาบนอินเตอร์เน็ต เช่น McAfee , AntiSpyware เป็นต้น

    4.2 โปรแกรมไฟร์วอลล์ (firewall) เป็นโปรแกรมป้องกันผู้บุกรุกเข้ามาใช้งานคอมพิวเตอร์ในระบบของเราโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและอินทราเน็ต โดยโปรแกรมจะทำการตรวจสอบข้อมูลที่เข้าและออกจากระบบ ถ้าพบว่ามีข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจเป็นข้อมูลจากผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาในระบบ โปรแกรมจะไม่อนุญาตให้ข้อมูลดังกล่าวเข้ามาในระบบ เช่น  โปรแกรม Windows Firewall , ZoneAlarm  เป็นต้น


    4.3  โปรแกรมบีบอัดไฟลล์    เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่บีบอัดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง ไฟล์ที่ได้จากการบีบอัดเรียกว่า ซิปไฟล์ (Zip file) โปรแกรมบีบอัดไฟล์ที่นิยมใช้ เช่น Winzip , Winrar เป็นต้น


22 ธ.ค. 2554

โครงงานคอมพิวเตอร์ ... ?

1. โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ …. ?


โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ กิจกรรมที่นำความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์มาใช้แก้ปัญหา หรือนำผลงานมาประยุกต์ใช้จริง โดยนักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า และปฏิบัติด้วยตนเองตามประสบการณ์ ความสามารถ หรือความสนใจ

2. โครงงานคอมพิวเตอร์มีประโยชน์ ดังนี้ คือ .... ?

2.1 ได้พัฒนาผลงานตามความรู้ ความสนใจและศักยภาพของตนเอง

2.2 ได้ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหาได้อย่างมีระบบ

2.3 สามารถวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจและอธิบายความต้องการทางคอมพิวเตอร์ และประยุกต์ความรู้ ทักษะและการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาได้

2.4 ได้ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น

2.5 ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

2.6 สื่อสารความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้านการพูด การเขียน รวมทั้งการเลือกรูปแบบการนำเสนอให้ผู้อื่นเข้าใจ

2.7 มีจิตสำนึกและความรับผิดชอบในการพัฒนาระบบ

3. โครงงานคอมพิวเตอร์ มี 5 ประเภท ได้แก่อะไรบ้างอธิบายความหมายของแต่ละประเภทพอเข้าใจ

3.1 โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา คือ โครงงานที่มีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำเสนอเนื้อหาบทเรียน

3.2 โครงงานการพัฒนาเครื่องมือ หมายถึง โครงงานเพื่อสร้างฮาร์ดแวร์ หรือพัฒนาซอฟต์แวร์

3.3 โครงงานการทดลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พิสูจน์ทฤษฎีจากการศึกษาค้นคว้า

3.4 โครงงานการประยุกต์ใช้งาน เป็นโครงงานที่นำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ดิจิตอลมาศึกษาและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจำวัน

3.5 โครงงานพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ เป็นโปรแกรมพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ศึกษาได้ศึกษาความต้องการของผู้ใช้งานและออกแบบโปรแกรมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ตามความเหมาะสม

21 ธ.ค. 2554

รู้หรือเปล่า ...?

1. อธิบายเกี่ยวกับประโยชน์การใช้งานของอุปกรณ์ต่อไปนี้ Joystick / stylus /flatbed scanner / OMR


2. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ทำหน้าที่อะไร

3. ความเร็วของ CPU ถูกควบคุมโดยสัญญาณอะไร

4. หน่วยวัดความเร็วของ CPU เรียกว่า อะไร

5. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) แบ่งเป็น 2 หน่วย ได้แก่ อะไรบ้าง

6. อธิบายความหมายและความสำคัญของหน่วยควบคุม และ หน่วยตรรกะ มาพอเข้าใจ

7. หน่วยประมวลผลกลาง(CPU) มีองค์ประกอบสำคัญ 2 องค์ประกอบ ได้แก่อะไรบ้าง

8. อธิบายความหมายของ เรจิสเตอร์ กับ บัส มาพอเข้าใจ

19 ธ.ค. 2554

โปรแกรมแปลภาษา ..... ?

โปรแกรมแปลภาษา เป็นซอฟต์แวร์หรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่แปล Source Program
ให้เป็น Object Program เนื่องจากภาษาระดับต่ำและภาษาระดับสูงเป็นภาษา
ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถรับรู้ได้ จำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้เป็นตัวแปลภาษา
ให้เป็นภาษาเครื่องเสียก่อน ซึ่งโปรแกรมแปลภาษาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

 1. ตัวแปลภาษาระดับต่ำ   ภาษาระดับต่ำแม้ว่าจะเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง แต่ลักษณะของภาษานี้ได้ใช้ตัว อักษรแทนชุดคำสั่งของเลขฐานสองในภาษาเครื่อง จึงจำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับต่ำ ให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับต่ำนี้ ได้แก่ โปรแกรมภาษาแอสแซมเบลอร์ (Assembler) ที่ใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่า แอสเซมบลี

2. ตัวแปลภาษาระดับสูง ภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่เขียนขึ้นมาเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานโดยใช้คำสั่งที่มนุษย์อ่านและเข้าใจได้แต่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจได้จึงต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับสูง ให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งโปรแกรมแปลภาษาระดับสูงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

       2.1 คอมไพเลอร์ (Compiler) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ลักษณะการแปลภาษาระดับสูงของคอมไพเลอร์นั้น เป็นลักษณะการตรวจสอบคำสั่งที่รับเข้ามาว่าการเขียนคำสั่ง นั้นถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาหรือไม่
ถ้ายังไม่ถูกต้องก็จะแจ้งข้อผิดพลาด ให้ผู้ใช้ทราบ เพื่อจะได้ทำการแก้ไข ให้ถูกต้อง
ถ้าหากตรวจสอบแล้วถูกต้อง ก็จะแปลจาก Source Program ให้เป็น Object Program

เก็บไว้ ในหน่วยความจำ และถ้ามีการ แก้ไขเปลี่ยนแปลงชุดคำสั่งใหม่ จะต้องมีการแปลชุดคำสั่งใหม่ทั้งโปรแกรม เพื่อเก็บเป็น Object Program อีกครั้งหนึ่ง การใช้คอมไพเลอร์ ถ้าเป็นชุดคำสั่งที่ต้องการทำการประมวลผลต่อเนื่องกันหลาย ๆ ครั้งจะทำให้การประมวลผลเร็ว เพราะไม่ต้องแปลใหม่อีกสามารถเรียกใช้ Object Program ได้เลย ภาษาที่ใช้ตัวแปล ประเภทนี้ เช่น FORTRAN ,COBOL เป็นต้น

      2.2 อินเตอร์พลีตเตอร์ (Interpreter) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็น
ภาษาเครื่อง โดยทำการแปลชุดคำสั่งที่นำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ทีละคำสั่ง
และทำการประมวลผลทันที โดยไม่ต้องทำให้เป็น Object Program ถ้าหากพบข้อผิดพลาดโปรแกรมจะหยุดทำงานทันที เมื่อทำการแก้ไขเพิ่มเติมชุดคำสั่งก็ต้อง
แปลคำสั่งที่แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจึงทำการประมวลผลโดย ไม่ต้องแปลใหม่
หมดทั้งโปรแกรม แต่การใช้ อินเทอร์พลีตเตอร์ถ้าเป็นชุดคำสั่งที่ต้องการทำการประมวลผลต่อเนื่องกันหลาย ๆ ครั้งจะทำให้การประมวลผลช้างลง เพราะต้องแปลใหม่ทุกครั้งที่มีการประมวลผล ภาษาที่ใช้ตัวแปลประเภทนี้ เช่น PASCAL, BASIC เป็นต้น

ตอบคำถามดูหน่อย
1. โปแกรมแปลภาษาคือ .... ?

2. โปรแกรมแปลภาษาทำหน้าที่.... ?
3. โปรแกรมแปลภาษาแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
4. ตัวแปลภาษาระดับต่ำ ทำหน้าที่ ... .?
5. แอสแซมเบลอร์ คือ ....?
6. ตัวแปลแปลภาษาระดับสูง ทำหน้าที่ …?
7. ตัวแปลภาษาระดับสูงแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
8. คอมไพเลอร์ กับ อินเตอร์พลิตเตอร์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

8 ธ.ค. 2554

ผังงานการเขียนโปรแกรมแบบลำดับ

ตัวอย่างที่ 1 จงเขียนโปรแกรมหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งมีความกว้างตามที่ผู้ใช้กำหนด
  1. สิ่งที่โจทย์ต้องการ    คำนวณหาพื้นที่รูปสี่เหลี่่ยมจตุรัสแล้วแสดงผล
  2. รูปแบบของผลลัพธ์ 
  3. ข้อมูลนำเข้า
           - ความกว้างของสี่เหลี่ยม
  4. ตัวแปรที่ใช้
           w   แทน ความกว้าง
          area แทน พื้นที่รูปสี่เหลี่ยม
  5. ขั้นตอนการประมวลผล
       1. รับ  w
       2. คำนวณ   area = w*w
       3. แสดงผล
   6. ผังงาน

การเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง

โครงสร้างในการเขียนโปรแกรมมี 3 แบบ ได้แก่
     1.  โครงสร้างแบบลำดับ(Sequential Structure)  เป็นโครงสร้างที่แสดงขั้นตอนการทำงานที่เรียงเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง จากคำสั่ง 1 ไปคำสั่ง 2 ต่อไปจนถึงคำสั่งสุดท้ายและแต่ละคำสั่งมีการทำงานเพียงคร้ังเดียวเท่านั้น



     2.  โครงสร้างแบบทางเลือก (Selection Structure) เป็นโครงสร้างที่มีการตรวจสอบเงื่อนไขในการตัดสินใจ แบ่งเป็น
           2.1 โครงสร้างแบบมีทางเลือก 2 ทาง




           2.2 โครงสร้างแบบมีทางเลือกมากกว่า 2 ทาง

     3.  โครงสร้างแบบทำซ้ำ (Repetition Structure)  เป็นโครงสร้างที่มีการสั่งให้ทำงานชุดคำสั่งนั้นๆ ในลักษณะวนซ้ำหลายๆ รอบ โดยมีการตรวจสอบเงื่อนไขเพื่อตัดสินใจระหว่างทำซ้ำรอบต่อไปหรือเลิกทำซ้ำ โครงสร้างแบบนี้มี 2 ลักษณะ คือ
          3.1  การทำซ้ำตราบเท่าที่เงื่อนไขเป็นจริง (  Do  while)
          3.2  การทำซ้ำจนกระทั่งเงื่อนไขเป็นจริง  (Do until)



6 ธ.ค. 2554

การเขียนผังงาน ( Flowchart )


ผังงาน คือ แผนภาพที่มีการใช้สัญลักษณ์รูปภาพและลูกศรที่แสดงถึงขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมหรือระบบทีละขั้นตอน รวมไปถึงทิศทางการไหลของข้อมูลตั้งแต่แรกจนได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ประโยชน์ของผังงาน


• ช่วยลำดับขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม และสามารถนำไปเขียนโปรแกรมได้โดยไม่สับสน

• ช่วยในการตรวจสอบ และแก้ไขโปรแกรมได้ง่าย เมื่อเกิดข้อผิดพลาด

• ช่วยให้การดัดแปลง แก้ไข ทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

• ช่วยให้ผู้อื่นสามารถศึกษาการทำงานของโปรแกรมได้อย่างง่าย และรวดเร็วมากขึ้น


วิธีการเขียนผังงานที่ดี


• ใช้สัญลักษณ์ตามที่กำหนดไว้

• ใช้ลูกศรแสดงทิศทางการไหลของข้อมูลจากบนลงล่าง หรือจากซ้ายไปขวา

• คำอธิบายในภาพควรสั้นกระทัดรัด และเข้าใจง่าย

• ทุกแผนภาพต้องมีลูกศรแสดงทิศทางเข้า - ออก

• ไม่ควรโยงเส้นเชื่อมผังงานที่อยู่ไกลมาก ๆ ควรใช้สัญลักษณ์จุดเชื่อมต่อแทน

• ผังงานควรมีการทดสอบความถูกต้องของการทำงานก่อนนำไปเขียนโปรแกรม

ตัวอย่างสัญลักษณ์ที่สำคัญในการเขียนผังงาน 

31 พ.ค. 2554

หลักการทำงานและการเลือกใช้คอมพิวเตอร์

1. อธิบายขั้นตอนการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์  4 ขั้นตอน พร้อมระบุชนิดของอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในแต่ละขั้นตอน

ความแตกต่างระหว่าง LCD กับ CRT

จอภาพ (monitor) เป็นอุปกรณ์เอาต์พุตชนิดหนึ่ง ซึ่งจะนำสัญญาณที่ได้รับ การประมวลผลจากCPUที่ต่ออยู่บนเมนบอร์ด โดยมีการ์ดจอภาพเป็นตัวควบคุมสัญญาณให้มาปรากฎบนหน้าจอ สรุปว่าเมื่อต้องการให้จอภาพแสดงออกมาที่หน้าจอได้ จะต้องมีอุปกรณ์ 2 ชิ้นคือ จอภาพและการ์ดแสดงผลจอภาพ

ประเภทของจอภาพ   แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1.1 จอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube)

1.2 จอภาพแบบ LCD (Liquid Crystal Display)


1.1 จอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube) คือ หลอดภาพที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคแรกๆ มีลักษณะคล้าย TV กินไฟมากและมีไฟแรงสูงเป็นหมื่นโวลต์ สำหรับควบคุมอิเล็กตรอนในการทำให้เกิดภาพ จอCRT สามารถแบ่งออกตามสีที่แสดงออกมาบนหน้าจอได้สองแบบคือ จอภาพสีเดียว(Monochrome) และจอภาพสี(Color)

           1.1.1 จอภาพสีเดียว(Monochrome) หมายถึงจอภาพที่มีสีพื้นเป็นสีดำและแสดงตัวอักษรออกมาเพียงสีเดียว สีที่พบเห็นทั่วๆ ไป คือ สีขาว สีเขียว สีส้ม เป็นต้น

           1.1.2 จอภาพสี (Color) เป็นจอภาพที่แสดงสีได้หลายสีเหมาะกับงานด้าน

กราฟฟิกและมัลติมีเดีย



1.2 จอภาพแบบ LCD (Liquid Crystal Display) จอภาพแบบแอลซีดีซึ่งมีลักษณะแบนราบจะมีขนาดเล็ก และบาง เมื่อเปรียบเทียบกับจอภาพแบบซีอาร์ที หากจอภาพแบบแอกตีฟแมทริกซ์สามารถพัฒนาให้มีขนาดใหญ่กว่า 15 นิ้วได้    การนำมาใช้แทนจอภาพซีอาร์ทีก็จะมีหนทางมากขึ้น ความสำเร็จของจอภาพแอลซีดีที่จะเข้ามาแข่งขันกับจอภาพแบบซีอาร์ที  อยู่ในเงื่อนไขสองประการคือ

1. จอภาพแอลซีดีมีราคาแพงกว่าจอภาพซีอาร์ที และมีขนาดจำกัดในอนาคตและมีโน้มด้านราคาของจอภาพแอลซีดีจะลดลงได้อีกมาก

2. เทคโนโลยีสำหรับอนาคตมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้จอภาพแอลซีดีขนาดใหญ่



ความแตกต่างระหว่าง LCD กับ CRT

LCD เป็นแผงแสดงผลที่แตกต่างจาก CRT ตรงที่ตัว LCD ไม่ได้เปล่งแสงออกมาแต่ใช้หลักการควบคุมแสงจึงมีข้อเด่นมากมายเมื่อเปรียบเทียบกับ CRT จุดเด่นของ LCD จึงแสดงผลได้แม้ในสิ่งแวดล้อมที่มีแสงจ้าหรือ กลางแจ้ง การมองเห็นทำได้อย่างชัดเจนไม่เหมือนอุปกรณ์ที่กำเนิดแสง เช่น CRT ใช้กำลังไฟฟ้าต่ำมากโดยทั่วไปใช้กำลังไฟฟ้าเพียง1 - 10 MicroWatt per Cm ใช้แรงดันไฟฟ้าขับที่แรงดันไฟฟ้าต่ำ จึงใช้วงจร CMOS ที่ทำงานเพียง 3 Volt ก็สามารถขับ LCD ได้จึงใช้ในวงจรคอมพิวเตอร์หรือวงจรดิจิตอลทั่วไปได้ แหล่งจ่ายไฟสำหรับ LCD ใช้แหล่งเดียวและแรงดันไฟฟ้าระดับเดียวจึงไม่ยุ่งยากซับซ้อนในการใช้งานการแสดงผล LCD มีความคมชัดไม่มีการกระพริบหรือ ภาพสั่นไหวไม่สร้างสัญญาณเสียงรบกวน มีขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเบา แบนราบ ขนาดแสดงผลมีขนาดเหมาะสมกับการประยุกต์เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ผู้ออกแบบการแสดงผลทำได้ตามต้องการด้วนเทคโนโลยี LCD แสดงผลในลักษณะหลายสี เหมือนจอ CRT ได้การเชื่อมต่อไม่ต้องมีกลไกจึงทำให้ออกแบบประยุกต์ได้ง่าย

1 มี.ค. 2554

แปลงไฟล์สกุล mod

1. ก๊อปปี้ไฟล์ *.mod ออกมาพักไว้ในไดร์ฟไหนก็ได้ เช่น c:myvdo


2. start, run, พิมพ์ cmd กด Enter

3. พิมพ์ cdmyvdo

4. พิมพ์ rename *.mod *.m2v แล้วกด Enter

5. จากนั้นก็นำไปตกแต่งตัดต่อในโปรแกรมอะไรก็ได้ค่ะ

25 ก.พ. 2554

การสื่อสารข้อมูล

การสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย
(Fundamental of Data Communications and Networks)
การสื่อสารด้วยการสนทนาพูดคุย จัดเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา ซึ่งหากพิจารณาในรายละเอียดของการพูดคุยสนทนากันนั้น จะประกอบด้วยคู่สนทนาตั้งแต่สองคนขึ้นไป แต่ละคนก็จะสามารถเป็นได้ทั้งผู้พูดและผู้ฟังเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน คำพูดหรือข่าวสารที่พูดไป ต่างฝ่ายก็ได้ยิน เพราะว่าตัวกลางที่นำพาเสียงพูดไปก็คืออากาศที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานั่งเอง นอกจากนี้ ยังอาจมีสิ่งรบกวนรอบข้างตัวเราที่เกิดขึ้นในระหว่างสนทนากัน ไม่ว่าจะเป็น สิ่งรบกวนจากธรรมชาติเสียงรถจักยานยนต์ เสียงแตรรถยนต์ เสียงรถตัดหญ้า รวมทั้งเสียงอื่น ๆ ที่เข้ามารบกวนในขณะที่สนทนากัน ทำให้จำเป็นต้องมีสมาธิในการจับใจความระหว่างคู่สนทนามากขึ้นสำหรับการสื่อ สารแบบซึ่งหน้าหรือการสื่อสารบนพื้นที่เดียวกัน เป็นการสื่อสารในระยะทางใกล้ ๆ ซึ่งถูกจำกัดในเรื่องของระยะทางเป็นสำคัญ และในกรณีที่ต้องการสื่อสารบนระยะทางที่ห่างไกลกันเป็นไมล์ในรูปแบบของ อิเล็กทรอนิกส์ มนุษย์จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร หรือเทคโนโลยีโทรคมนาคมเข้ามาช่วยเพื่อตอบสนองดังกล่าว
การสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นกระบวนการถ่ายโอนข้อมูลหรือสารสนเทศจาก ต้นทาง (Source) ไปยังปลายทาง (Destination) ซึ่งระบบการสื่อสารส่วนใหญ่มักจะหมายถึงระยะทาง (Distance) ระหว่างคอมพิวเตอร์และอาจข้องเกี่ยวกับระบบโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ และวิทยุทัศน์ และหากเป็นระบบการสื่อสารในวงกว้างก็จะมีความซับซ้อนสูงมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจมีการรวมข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่ประกอบ ข้อความ เสียง วิดีโอ ที่โอนถ่ายกันบนสายสื่อสาร เช่น สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออปติค หรือสื่อไร้สายอย่างคลื่นวิทยุ และไมโครเวฟ สำหรับเส้นทางของการสื่อสารอาจจะเดินทางผ่านข้ามประเทศ ข้ามทวีป ผ่านใต้ทะเลมหาสมุทร โดยอาจมีการใช้ทั้งสื่อแบบมีสายและไร้สายร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ข้อมูลต้นฉบับที่ส่งไป ซึ่งเดิมอยู่ในรูปแบบของสัญญาณเสียงหรือสัญญาณแอนะล็อก ก็อาจจะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อการเดินทางในระยำไกล ๆ บนสายดิจิตอลความเร็วสูง และท้ายสุดเมื่อสัญญาณเดินทางไปถึงปลายทางก็จะมีการเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็น สัญญาณแอนะล็อกเพื่อให้เหมือนกับ ต้นฉบับข้อมูลที่ส่งมา สิ่งเหล่านี้หากมองในลักษณะภาพรวมแล้ว ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว แต่สำหรับโลกแห่งเทคโนโลยี การสื่อสารในยุคปัจจุบันนี้ ถือเป็นเรื่องราวปกติ
เทคโนโลยีการสื่อสารได้มีการพัฒนาไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาคอมพิวเตอร์ โดยมีการนำคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันในลักษณะเครือข่ายซึ่งอาจอยู่ในบริเวณ พื้นที่ที่ใกล้กัน หรืออาจอยู่ต่างบริเวณที่มีระยะทางไกลกันออกไปแต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร และเครือข่ายจะทำให้สามารถสื่อสารข้อมูลระหว่างกันได้ ตัวอย่างเช่น การดำเนินธุรกรรมกับธนาคาร ไม่ว่าจะเป็น การฝากเงิน การถอนเงิน การตรวจสอบยอดบัญชี สิ่งเหล่านี้สามารถดำเนินการได้โยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังธนาคาร แต่สามารถดำเนินธุรกรรมดังกล่าวได้ผ่านเครื่องบริการเงินด่วนหรือเครื่องเอ ทีเอ็ม ซึ่งเราอาจใช้บริการอยู่ภายในจังหวัดหรือต่างจังหวัดที่ห่างไกลกันก็ได้ ก็เพราะว่าเครื่องเอทีเอ็มเหล่านี้ได้ มีการเชื่อมต่อออนไลน์กันในลักษณะเครือข่าย ทำให้สามารถสื่อสารและใช้ฐานข้อมูลร่วมกันได้นั่นเอง
จากข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นที่ได้นำ มากล่าวถึง แต่แนวโน้มเทคโนโลยีการสื่อสารและระบบเครือข่ายจะเพิ่มทวีขึ้นเพื่อตอบสนอง ความต้องการของมนุษย์อยู่ทุกขณะ ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน บางรุ่นได้ผนวกคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีฟังก์ชันการทำงานที่มิใช่เพียงแค่ใช้งานเพื่อโทรศัพท์คุยกันได้เท่า นั้น แต่สามารถนำไปใช้งานเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย ทำให้ผู้ใช้โทรศัพท์สามารถนำโทรศัพท์เพื่อติดต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ สามารถส่งอีเมลและดำเนินธุรกรรมใด ๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ และด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารนี่เอง จึงทำให้สามารถย่อโลกทั้งโลกที่มีอาราเขตกว้างใหญ่ไพศาลนั้นให้ดูเล็กลง อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผู้คนทั่วโลกสามารถสื่อสารเพื่อรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ ถึงกันได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ผ่านวิทยุ โทรทัศน์ที่ถ่ายทอดผ่านดาวเทียม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และที่สำคั ญ สำหรับการดำเนินชีวิตของผู้คนในยุคนี้ คงไม่สามารถปฏิเสธเทคโนโลยีดังกล่าวได้เลย
ความหมายของการสื่อสารข้อมูล ( Data Communication )
จากสิ่งที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น จึงสามารถสรุปความหมายของการสื่อสารข้อมูลได้ว่า คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสองอุปกรณ์ ผ่านตัวกลางในการสื่อสาร ตัวอย่างเช่น การสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สองเครื่องด้วยการใช้สายเคเบิล เป็นตัวกลางในการสื่อสาร นอกจากนี้การสื่อสารข้อมูลยังมีทั้งการสื่อสารระยะใกล้หรือแบบโลคอล ในกรณีที่อุปกรณ์การสื่อสารต่าง ๆ อยู่ในบริเวณหรือตึกอาคารเดียวกัน และการสื่อสารระยะใกล้หรือแบบรีโมต ซึ่งอุปกรณ์การสื่อสารจะอยู่ไกลกัน หรือต่างพื้นที่

วิธีการสื่อสาร ( Communication Method )
วิธีการสื่อสาร สามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีด้วยกัน คือ การสื่อสารบนพื้นที่เดียวกัน และการสื่อสารระยะไกล ซึ่งสามารถสรุปได้ดังรายละเอียดต่อไปนี้
        1. การสื่อสารบนพื้นที่เดียวกันหรือแบบโลคอล
                ในอดีต ......   การพูด / การแสดงกริยาหรือท่าทาง / เอกสาร
                 ปัจจุบัน ....... สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์
        2. การสื่อสารระยะไกลหรือแบบรีโมต
ในอดีต ......... การส่งจดหมายทางไปรษณีย์ / โทรศัพท์ / โทรทัศน์
ปัจจุบัน........... การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล / โทรศัพท์ไร้สาย หรือวิดีโอโฟน /วิดีโอคอนเฟอร์เร็นซ์
และด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ประสิทธิภาพในการสื่อสารและการใช้ข้อมูลร่วมกัน
2. มีความรวดเร็ว
3. สื่อสารได้ในวงกว้าง โดยระยะทางและข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์จะไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป
4. ความถูกต้องและแน่นอน
5. ง่ายต่อการเข้าถึง
เทคโนโลยีโทรคมนาคม ( Telecommunication )
ในบางครั้งจะเห็นคำพูดทั้งสอง ไม่วาจะเป็น คำว่าการสื่อสารข้อมูล หรือเทคโนโลยีคมนาคมมาใช้ร่วมกันเสมอ ซึ่งความจริงแล้วเทคโนโลยีโทรคมนาคมจะมีความหมายที่กว้างและครอบคลุมมากกว่า การสื่อสารข้อมูล หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การสื่อสารข้อมูลเป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีโทรคมนาคมก็ว่าได้ เทคโนโลยีคมนาคม จะข้องเกี่ยวกับการส่งผ่านข้อมูลที่ประกอบด้วยเสียง และวิดีโอผ่านตัวกลางอย่างสายโทรศัพท์หรือคลื่นวิทยุ ซึ่งการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์นั่น ทำให้ได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสาธารณะที่มีการกระจายอยู่ทั่วไปในทั่ว ประเทศให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้สามารถส่งข้อมูลในระยะไกล ๆ ได้
สำหรับการสื่อสารข้อมูลระยะไกล ใน ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกภาพถึงความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์แต่ความ เป็นจริงแล้วเทคโนโลยีโทรคมนาคมได้เกิดขึ้นและมีการนำมาใช้งานเนิ่นนานแล้ว เช่น ระบบโทรเลข ได้เริ่มใช้งานเมื่อปี ค.ศ. 1840 ดังนั้นใช่ว่าการสื่อสารข้อมูลระยะไกลจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เสมอไป แต่ด้วยความสามารถของคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีโทรคมนาคมและ เครือข่าย เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการใช้งานสูงสุด ตัวอย่างเช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการส่งแฟกซ์ ทำให้เราไม่จำเป็นต้องมีเครื่องแฟกซ์ เชื่อมต่อ โยโมเด็มจะทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสัญญาณคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก เพื่อส่งผ่านสายโทรศัพท์ไปในระยะทางไกล ๆ ๆด้ เพียงเท่านี้ก็ทำให้สามารถส่งแฟกซ์ได้โยไม่ต้องมีเครื่องแฟกซ์ อีกทั้งยังสามารถใช้โมเด็มเพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เป็นต้น
โทรเลข ( Telegraphy )
หลักการทำงานของระบบโทรเลข จะใช้วิธีการแปลตัวอักษรหรืออักขระ ตัวเลข ให้เป็นรหัส จากนั้นทำกรแปลรหัสดังกล่าวให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งผ่านตัวกลาง เช่น สายทองแดงเพื่อไปยังปลายทาง เมื่อปลายทางได้รับก็จะทำการถอดรหัสให้เป็นข้อความ
โทรพิมพ์ ( Telex )
เป็นรูปแบบของบการบริการโทรเลขชนิด หนึ่ง แต่ผู้ใช้งานสามารถติดต่อโต้ตอบได้ โดยเครื่องโทรพิมพ์จะมีลักษณะคล้ายเครื่องพิมพ์ดีดที่เป็นได้ทั้งเครื่องรับ ส่งข้อมูลในตัวเดียวกัน โทรพิมพ์สื่อสารกันได้โดยอาศัยตัวทั้งสองฝั่งสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ด้วย การพิมพ์โต้ตอบระหว่างกัน โดยข้อความที่ส่งถึงกันจะทำได้ด้วยการพิมพ์ข้อความลงบนกระดาษพิมพ์ของทั้ง สองฝ่าย และถึงแม้ว่าฝ่ายผู้รับจะไม่มีพนักงานคอยรับข้อความ เครื่องก็สามารถทำงานและหยุดได้เองโดยอัตโนมัติ
โทรสาร ( Facsimile )
เครื่องโทรสารมักเรียกสั้น ๆ ว่า แฟกซ์ ใช้เทคนิคของแสงสแกนลงบนเอกสาร ต้นฉบับที่สามารถเป็นได้ทั้งข้อความและภาพ จากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อส่งต่อไปตามสายโทรศัพท์ เมื่อเครื่องฝ่ายผู้รับได้รับข้อมูลที่ส่งมา ก็จะนำข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้านั้นมาเปลี่ยนเป็นข้อมูลที่เหมือนกับต้นฉบับ
โทรศัพท์ ( Telephone )
เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้เป็นอย่างสูง ซึ่งมักมีใช้งานตามบ้านเรือนเกือบทุกครัวเรือน ในปัจจุบัน ชุมสานโทรศัพท์นั้นได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบของสัญญาณดิจิตอลใน บางพื้นที่มากขึ้นตามลำดับ เพื่อรองรับการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง การใช้ชุมสายโทรศัพท์ในการสื่อสารนั้นราคาถูกและเป็นที่นิยม ตัวอย่างเช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ตตามบ้านเรือนต่าง ๆ ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับโมเด็ม ซึ่งบางบริษัทที่บริการอินเทอร์เน็ตก็ยังคงรูปแบบการบริการแบบแอนะล็อกกับ แบบดิจิตอลความเร็วสูง โดยระบบดิจิตอลจะมีช่องสัญญาณหรือแบนด์วิดธ์ที่กว้างกว่า ทำให้มีการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วโดยเฉพาะข้อมูลในรูปแบบของสื่อประสมหรือ มัลติมีเดีย อีกทั้งในขณะที่ใช้งานก็ยังสามารถใช้งานโทรศัพท์ได้อีกด้วย เนื่องจากใช้ช่องความถี่ที่ต่างกันในการสื่อสาร ในขณะที่รูปแบบเดิมหรือแบบแอนะล็อกนั้น เมื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่ก็จะไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้
โทรทัศน์ ( Television )
เป็นระบบที่ใช้ในการแพร่ภาพกระจายในย่าน ความถี่สูง เช่น ที่ย่านความถี่สูง หรือย่านความถี่สูงมาก ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ใช้สำหรับกิจการทางโทรทัศน์ ในอดีตการแพร่ภาพทางโทรทัศน์มักจะประสบกับปัญหากับพื้นที่รับสัญญาณ เช่น ตามจังหวัดที่ห่างไกล แต่ในปัจ จุบันได้มีการตั้งสถานีทวนสัญญาณโทรทัศน์ตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนตามจังหวัดต่าง ๆ สามารถรับชมการแพร่ภาพโทรทัศน์ได้ ปัจจุบันการส่งสัญญาณโทรทัศน์ในประเทศไทยมีอยู่ 2 ระบบด้วยกัน คือ ระบบออกอาการทั่วไป และอีกระบบอีกหนึ่ง คือ ระบบเคเบิลทีวี ซึ่งระบบนี้จำเป็นต้องสมัครสมาชิกและต้องเสียค่าบริการรายเดือน โดยจะมีเสารับสัญญาณที่แตกต่างกันกับเสาอากาศของโทรทัศน์ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีหนึ่งเรียกว่า Video on Demand ซึ่งเป็นระบบโทรทัศน์ที่ผู้ชมสามารถเป็นผู้เลือกชมรายการได้ด้วยตนเอง
วิทยุกระจายเสียง (Radio)
เป็นการสื่อสารที่อาศัย คลื่นวิทยุด้วยการส่งคลื่นไปยังอากาศเพื่อเข้าไปยังเครื่องรับวิทยุ โดยใช้เทคนิคการกล้ำสัญญาน หรือเรียกว่าการมอดูเลต (Modulate) การด้วยการรวมกับคลื่นเสียงที่เป็นไฟฟ้าความถี่เสียงรวมกัน ทำให้การสื่อสารด้วยวิทยุกระจายเสียงนั้นไม่จำเป็นต้องใช้สาย อีกทั้งยังสามารถส่งคลื่นได้ในระยะทางที่ไกลออกไปได้ตามประเภทของคลื่นนั้น ๆ
ไมโครเวฟ (Microwave)
ไมโครเวฟเป็นคลื่นวิทยุ ชนิดหนึ่งที่มีความถี่ระดับกิกะเฮิรตซ์ (GHz) และเนื่องจากความยาวของคลื่นมีหน่วยวัดเป็นไมโครเมตร จึงเรียกว่าไมโครเวฟนั่นเอง คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นเส้นตรงในระดับสายตา ซึ่งหากลักษณะภูมิประเทศมีภูเขาหรือตึกสูงบดบังคลื่นแล้ว จะทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังที่หมายได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการติดตั้งจานรับส่งบนยอดตึกหรือยอดเขา เพื่อให้สัญญานส่งทอดต่อไปอีกได้
ดาวเทียม (Satellite) เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟมีข้อจำกัดใน เรื่องของลักษณะภูมิประเทศที่มีผลต่อการบดบังคลื่น ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาดาวเทียม โดยความเป็นจริงแล้ว ดาวเทียมก็คือสถานีไมโครเวฟนั่งเอง แต่เป็นสถานีไมโครเวฟที่ลอยอยู่บนเหนือพื้นผิวโลก มีลักษณะเป็นจานขนาดใหญ่โคจรห่างจากพื้นโลกประมาณ 22,300 ไมล์ ทำให้สามารถติดต่อสถานีภาคพื้นดินที่อยู่บนพื้นโลกได้ เราสามารถส่งดาวเทียมที่เรียกว่า Grostationary ซึ่งเป็นดาวเทียมหมุนโคจรด้วยความเร็วเท่ากับโลก ทำให้ดูเหมือนกับไม่มีเคลื่อนไหว และด้วยการนำดาวเทียมดังกล่าวขึ้นไปโคจรเหนือพื้นผิวโลกเพียง 3 ดวง ก็สามารถครอบคลุมการสื่อสารได้ทุกหมุนโลก โดยดาวเทียมดวงหนึ่งส่งสัญญาณในบริเวณกว้างเท่ากับ 1 ใน 3 ของโลก (120 องศา) ดังนั้นดาวเทียม 3 ดวงก็ครอบคลุมบริเวณพื้นโลกได้ทั้งหมด (360 องศา) ส่วนการสื่อสารสามารถส่งสัญญาณแบบขาขึ้น (Uplink) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณจากสถานีพื้นดินไปยังดาวเทียม และการส่งสัญญาณแบบขาลง (Downlink) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณจากดาวเทียมมายังสถานีภาคพื้นดิน และด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมในอนาคตก็จะสามารถสื่อสารได้ทั้งสองทาง ไม่ว่าจะเป็นแบบขาขึ้นหรือขาลงในขณะเดียวกัน
คุณสมบัติพื้นฐาน 3 ประการของการสื่อสารข้อมูล
(Three Fundamental Char Characteristics)
เมื่อการสื่อสารข้อมูล ได้เกิดขึ้น อุปกรณ์การสื่อสารจะต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการสื่อสาร ด้วยการรวมส่วนของฮาร์แวร์และซอฟต์แวร์เข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้สามารถทำการ สื่อสารได้ ผลของระบบการสื่อสารข้อมูลจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติพื้นฐาน 3 ประการด้วยกัน คือ
1. การส่งมอบ (Delivery) ระบบจะต้องสามารถส่งมอบ ข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง ข้อมูลที่ส่งไปจะต้องไปยังอุปกรณ์ตามจุดหมายที่ต้องการ ซึ่งอาจเป็นยูสเซอร์หรืออุปกรณ์ก็ได้
2. ความถูกต้องแน่นอน (Accuracy) ระบบจะต้องส่งมอบข้อมูลได้ถูกต้องและแน่ นอน อีกทั้งยังต้องสามารถส่งสัญญาณเตือนให้รับทราบในกรณีที่การส่งข้อมูลในขณะ นั้นไม่ถูกต้อง สูญหาย หรือไม่สามารถใช้งานได้
3. ระยะเวลา (Timeliness) ระบบจะต้องส่งหมอบ ข้อมูลในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ในบางระบบ เวลาอาจไม่ใช่สาระสำคัญมากนัก หากเกิดความล่าช้าในข้อมูลที่ส่งก็อาจยอมรับได้ โดยขอให้ข้อมูลไปถึงปลายทางก็ถือว่าเพียงพอ แต่ในขณะที่บางระบบโดยเฉพาะระบบเรียลไทม์ (Real-Time Transmission) ซึ่งระบบดังกล่าวจำเป็นต้องใช้เวลาที่ตอบสนองแบบทันทีทันใด จึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์และสื่อส่งข้อมูลที่มีความเร็วสูง เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทางได้ทันที หากเกิดการหน่วงเวลาเวลาหรือความล่าช้าในระยะเวลาที่จัดส่ง ก็ส่งผลกระทบต่อการใช้งาน ดังนั้นความหมายของระยะเวลาที่เหมาะสม จึงหมายถึงข้อมูลที่ส่งไปยังจุดหมายปลายทางในระยะเวลาหนึ่ง ๆ ที่สามารถนำไปใช้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ โดยปราศจากนัยสำคัญว่าเกิดการหน่วงเวลา



องค์ประกอบพื้นฐานของระบบการสื่อสารข้อมูล
(Compoments of Data Communication System)
ระบบการสื่อสารข้อมูล ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานทั้ง 5 ดังต่อไปนี้
• ข้อมูล/ข่าวสาร (Message)
• ผู้ส่งข้อมูล (Sender/Source)
• ผู้รับข้อมูล (Receiver/Destination)
• ตัวกลางในการส่งข้อมูล (Transmission Medium)
• โปรโตคอล (Protocol)
ข้อมูล/ข่าวสาร (Message)
ข่าวสารในที่นี้คือข้อมูลหรือสารสนเทศ ต่าง ๆ ที่ต้องการสื่อสาร โดยข่าวสารอาจประกอบด้วยข้อความ ตัวเลข รูปภาพ เสียง หรือวิดีโอ หรืออาจเป็นสิ่งที่กล่าวมานั้นมารวมกัน เช่น ภาพพร้อมเสียง ซึ่งเรียกว่าสื่อประสม (Multimedia) ข้อมูลข่าวสารจะถูกทำการเข้ารหัส (Encoding ) เพื่อส่งผ่านตัวกลางส่งข้อมูล และเมื่อปลายทางได้รับข้อมูลที่ส่งมาก็จะทำการถอดรหัส เพื่อให้เป็นข้อมูลดั้งเดิมเช่นเดียวกับที่จะส่ง อย่างไรก็ตามระหว่างข้อมูลข่าวสารกำลังเดินทางมาถึงปลายทาง ก็อาจพบอุปสรรคจากสัญญาณรบกวนชนิดต่าง ๆ
ผู้ส่งสาร ( Sender / Source ) ผู้ส่งข้อมูลคืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับส่งข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ เวิร์กสเตชัน โทรศัพท์ กล้องวิดีโอ เป็นต้น
ผู้รับข้อมูล ( Receiver / Destination ) ผู้รับข้อมูลคืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรับ ข้อมูลข่าวสารที่ทางผู้ส่งข้อมูลส่งให้ ซึ่งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ เวิร์กสเตชัน โทรศัพท์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในการรับส่งข้อมูล ตามปกติแล้วจะมีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ DTE และ DCE
ตัวกลางในการส่งข้อมูล ( Transmission Medium ) ตัวกลางในการส่งข้อมูลในที่นี้ก็คือ เส้นทางที่ทำให้สามารถนำข้อมูลที่รับส่งกันนั้นเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ระหว่างกันได้ โดยตัวกลางในการส่งข้อมูลก็จะมีทั้งแบบมีสาย เช่น สายเคเบิล สายคู่บิดเกลียว สายไฟเบอร์ออปติค แลตัวกลางในการส่งข้อมูลแบบไร้สาย เช่น คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ ดาวเทียม เป็นต้น
โปรโตคอล ( Protocol ) โปรโตคอลคือกฏเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นมา เพื่อเป็นข้อตกลงที่ใช้สำหรับเป็นมาตรฐานในการกำหนดบทบาทหน้าที่ในการสื่อ สารข้อมูลให้ถูกต้องตรงกัน
ซอฟต์แวร์

9 ก.พ. 2554

ซอฟต์แวร์ของระบบสารสนเทศ

ซอฟต์แวร์ของระบบสารสนเทศ


ความหมายของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์(Software) หมายถึง ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นคำสั่งที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออาจเรียกว่า “โปรแกรม” ก็ได้ ซึ่งหมายถึงคำสั่งหรือชุดคำสั่ง สามารถใช้เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เราต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรก็เขียนเป็นคำสั่งที่จะต้องสั่งเป็นขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างละเอียดและครบถ้วนก็จะเรียกว่า นักเขียนโปรแกรม (Programmer) สำหรับการเขียนโปรแกรมดังกล่าวใช้ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมโดยเฉพาะ หรือหมายถึง ภาษาที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาเบสิก ภาษาโคบอล ภาษาปาสคาล เป็นต้น โปรแกรมที่เขียนขึ้นมาก็จะนำไปใช้ในงานเฉพาะอย่าง เช่น โปรแกรมสต็อกสินค้าคงคลัง โปรแกรมคำนวณภาษี โปรแกรมคิดเงินเดือนพนักงาน เป็นต้น

ประเภทของซอฟต์แวร์
       ซอฟต์แวร์จะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ซอฟต์แวร์ระบบ(System Softwaer) และซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Softwaer) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Softwaer)      หมายถึง โปรแรกมที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่างและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นโปรแกรมตามหน้าที่การทำงานดังนี้

      1.1 OS (Operating System) คือ โปรแกรมระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานส่วนต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ควบคุมหน่วยความจำ ควบคุมหน่วยประมวลผล ควบคุมหน่วยรับและควบคุมหน่วยแสดงผล ตลอดจนแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงที่สุด และสามารถใช้อุปกรณ์ทุกส่วนของคอมพิวเตอร์และช่วยจัดการกระบวนการพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นการเปิด หรือปิดไฟล์ การสื่อสารกันระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในเครื่อง การส่งข้อมูลออกสู่เครื่องพิมพ์หรือสู่จอภาพ เป็นต้น ก่อนที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะสามารถอ่านไฟล์ต่าง ๆ หรือสามารถใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้จะต้องผ่านการดึงระบบปฏิบัติการออกมาฝังตัวอยู่ในหน่าวความจำก่อน ปัจจุบันนี้มีโปรแกรมระบบบอยู่หลายตัวด้วยกันซึ่งแต่ละตัวนั้นก็เป็นโปรแกรมระบบปฏิบัติการเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ลักษณะการทำงานจะไม่เหมือนกัน ดังนี้

         DOS (Disk operating System) เป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมาตั้งแต่ในอดีตออกมาพร้อมกับเครื่องพีซีของไอบีเอ็มรุ่นแรก ๆ จากนั้นก็มีการพัฒนารุ่นใหม่ออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวอร์ชั่นสุดท้ายคือ เวอร์ชั่น 6.22 หลังจากที่มีการประกาศใช้วินโดวส์ 95 ก็คงจะไม่ผลิต DOS เวอร์ชชั่นใหม่ออกมาแล้ว โดยทั่วไปจะนิยมใช้วินโดวส์ 3.x ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมเสริมชนิดหนึ่งที่ใช้ในดอส

          UNIX เป็นระบบ OS ที่สามารถใช้ร่วมกันได้หลายคน (Multiuser) หรือเป็นระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย โดยที่ผู้ใช้แต่ละคนจะต้องมีชื่อและพาสเวิร์ดส่วนตัว และสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก โดยผ่านทางสายโทรศัพท์และมี Modem เป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลหรือโอนย้ายข้อมูล นิยมใช้อย่างแพร่หลายในมหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐบาล หรือบริษัทเอกชนที่มีระบบคอมพิวเตอร์ใหญ่ ๆ ใช้ ในระบบยูนิกซ์เองก็มีวินโดวส์อีกชนิดหนึ่งใช้เรียกว่า X Windows สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ระบบยูนิกซ์ในเครื่องพีซีที่บ้านก็มีเวอร์ชั่นสำหรับพีซีเรียกว่า Linux ซึ่งจะมีคำสั่งพื้นฐานคล้าย ๆ กับระบบยูนิกซ์

       LAN   เป็นระบบปฏิบัติการแบบเครือข่ายเช่นเดียวกัน แต่จะใช้เชื่อมโยงกันในระยะใกล้ ๆ เช่น ในอาคารเดียวกันหรือระหว่างอาคารที่อยู่ใกล้กัน โดยใช้สาย Lan เป็นตัวเชื่อมโยง

WINDOWS เป็นระบบปฏิบัติการที่กำลังนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาถึงรุ่น Windows 2000 แล้ว บริษัทไมโครซอฟต์ได้เริ่มประกาศใช้ MS Windows 95 ครั้งแรกเมื่อ 24 สิงหาคม ค.ศ.1995 โดยมีความคิดที่ว่าจะออกมาแทน MS-DOS และ วินโดวส์ 3.X ที่ใช้ร่วมกันอยู่ ลักษณะของวินโดวส์ 95 จึงคล้ายกับเป็นระบบโอเอสที่มีทั้งดอสและวินโดวส์อยู่ในตัวเดียวกัน แต่เป็นวินโดวส์ที่มีลักษณะพิเศษกว่าวินโดวส์เดิม เช่น มีคุณสมบัติเป็น Plug and play ซึ่งสามารถจะรู้จักฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องได้โดยอัตโนมัติ มีลักษณะเป็นระบบ 32 บิต ในขณะที่วินโดวส์ เดิมเป็นระบบ 16 บิต เป็นต้น บริษัทไมโครซอฟต์ไม่ได้หยุดเพียงแค่วินโดวส์ 95 แต่ได้มีการพัฒนาเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ เข้าไป ในที่สุดก็ออกระบบโอเอสตัวถัดมาเป็น MS Windows 98 และ MS Windows 2000 ตามลำดับโดยที่มีการติดตั้ง และการใช้งานที่มีพื้นฐานไม่แตกต่างกันมากนัก จึงง่ายสำหรับผู้ใช้ในการปรับตัวเข้ากับระบบโอเอสใหม่ ๆ

Windows NT เป็นระบบ OS ที่ผลิตจากบริษัทไมโครซอฟต์เช่นเดียวกัน เป็นระบบ 32 บิต มีรูปลักษณ์เป็นกราฟิกที่ต้องใช้เมาส์คล้ายกับวินโดวส์ทั่วไป แต่นิยมใช้ในระบบเวิร์กสเตชันมากกว่าในเครื่องพีซีทั่ว ไป

OS/2 เป็นระบบ OS ที่ผลิตออกมาจากบริษัท IBM เป็นระบบ 32 บิต ที่มีรูปลักษณ์เป็นกราฟฟิกที่ต้องใช้เมาส์ คล้ายกับวินโดวส์ทั่วไปเช่นกัน

1.2 Translation Program
คือโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการแปลโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาเครื่อง หรือภาษาเครื่องที่ไม่เข้าใจให้เป็นภาษาที่เครื่องสามารถรู้เรื่องเข้าใจ และนำไปปฏิบัติได้ เช่น ภาษา BASIC ,COBOL,C, PASCAL, FORTRAN, ASSEMBLY เป็นต้น สำหรับตัวแปลนั้นจะมี 3 แบบคือ

     1.2.1  Assembler เป็นโปแกรมที่ใช้แปลภาษาแอสแซมบลี ซึ่งมีลักษณะการแปลทีละคำสั่ง เมื่อทำตามคำสั่งนั้นเสร็จแล้ว ก็จะแปลคำสั่งถัดไปเรื่อย ๆ จนจบ
     1.2.2  Interpreter เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาเบสิก โดยจะแปลทีละคำสั่งแล้วทำตามคำสั่งนั้น แล้วแปลต่อไปเรื่อย ๆ จนจบโปรแกรม
     1.2.3 Compiler เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งจะแปลทั้งโปรแกรมให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงจะปฏิบัติตามคำสั่งทีละคำสั่ง

1.3 Utility Program คือ โปรแกรมระบบที่ทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถทำงานได้สะดวก รวดเร็วและง่ายขึ้น เช่น โปรแกรมที่ใช้ในการเรียงลำดับข้อมูล โปรแกรมโอนย้ายข้อมูลจากชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดหนึ่ง โปรแกรมรวบรวมข้อมูล 2 ชุดเข้าด้วยกัน โปรแกรมคัดลอกข้อมูลเป็นต้น

1.4 Diagnostic Program คือ โปรแกรมระบบที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปแกรม QAPLUS โปรแกรม NORTON เป็นต้น และเมื่อพบข้อผิดพลาดก็จะแจ้งขึ้นบนจอภาพให้ทราบ

2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Softwaer)   หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนมาใช้งานเอง เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
   2.1 User Program คือ โปรแกรมที่ผู้ใช้เขียนมาใช้เอง โดยใช้ภาษาระดับต่าง ๆ ทางคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษา BSDIC, COBOL, PSDCSL, C, ASSEMBLY FORTRAN ฯลฯ ซึ่งการที่จะเลือกใช้ภาษาใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของงานเหล่านั้นด้วย เช่น โปรแกรมระบบบัญชี, โปแกรมควบคุมสต็อกสินค้า, โปแกรมแฟ้มทะเบียนประวัติ โปรแกรมคำนวณภาษี,โปรแกรมคิดเงินเดือน เป็นต้น
  2.2 Package Program คือ โปรแกรมสำเร็จรูปซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างหรือเขียนขึ้นมาโดยบริษัทต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วพร้อมที่จะนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้ทันทีตัวอย่างเช่น  
       2.2.1  โปรแกรมทางด้าน Word Processor      โปรแกรมทางด้าน Word Processor นั้น เป็นโปรแกรมที่ทำงานเกี่ยวกับทางด้านการประมวลผลคำ สามารถจัดทำเอกสาร รายงาน จดหมาย หนังสือต่าง ๆ ได้ ทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ สวยงาม เนื่องจากสามารถจัดรูปแบบงานตามต้องการได้รวมทั้งยังแก้ไขงานที่ทำได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในการแก้ไขงาน และสามารถค้นหาข้อความต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก
         โปรแกรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Word Processor มีดังนี้ คือ WordStat, ราชวิถีเวิร์ด เวิร์ดจุฬา โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นโปรแกรมที่ทำงานบน Dos นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมที่ทำงานบนวินโดวส์อีกด้วย คือ Word Perfect, Microsoft Word และAmiPro โปรแกรมเหล่านี้จะใช้งานง่าย สะดวก สามารถจัดรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถนำภาพมาประกอบกับงานเอกสาร หรือนำเอกสารจากโปรแกรมอื่นมาจัดรูปแบบในโปรแกรมเหล่านี้ก็ได้
      2.2.2  โปรแกรมทางด้าน Spreadsheet   โปรแกรมทางด้าน Spreadsheet เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะเป็นกระดาษทำการขนาดใหญ่ หรือ เรียกว่า Worksheet ประกอบด้วยส่วนที่เป็น Row หรือแถวตามแนวนอนและส่วนที่เป็น Column หรือแถวตามแนวตั่ง ซึ่งใช้ในด้านการคำนวณเป็นส่วนมาก นอกจากนั้นยังมีการนำเสนอข้อมูลออกมาในรูปของกราฟโดยสร้างเป็นกราฟ 2 มิติและ 3 มิติได้อีกด้วย โปรแกรม Spreadsheet เหมาะกับการทำงานในด้านการบัญชี การเงิน การวิเคราะห์ข้อมูล หรืองานการคิดคะแนนและเกรดของนักศึกษา เป็นต้น   สำหรับโปแกรมที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ โปรแกรม Lotus ซึ่งมีทั้งที่ทำงานบน Dos และบน Windows, โปรแกรม Microsoft Excel โปรแกรมเหล่านี้สามารถจัดรูปแบบตัวอักษรและกำหนดขนาดตัวอักษร รวมทั้งสามารถตีกรอบ สร้างตารางระบายสีลงในเซลล์ต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นยังสามารถนำรูปกราที่สร้างไว้มารวมกับข้อมูลที่อยู่ใน Worksheet เดียวกันได้ ทำให้ได้งานที่สมบูรณ์ขึ้น
      2.2.3 โปรแกรมทางด้าน Database   โปรแกรมประเภทนี้เป็นโปรแกรมที่ทำงานทางด้านการจัดการฐานข้อมูล ช่วยจัดเก็บข้อมูล แก้ไข ค้นหา เพิ่มเติม รวมทั้งการจัดเรียงข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สะดวกรวดเร็วสามารถทำงานได้เป็นระบบ โปรแกรม Database เหมาะกับการทำงานที่มีข้อมูลมาก ๆ เช่น การเก็บสต็อกสินค้าคงคลัง การเก็บประวัติพนักงาน การเก็บรายชื่อนักศึกษาในโรงเรียน การเก็บรายชื่อหนังสือในห้องสมุด เป็นต้น  โปรแกรมที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ โปรแกรม dBase lll Plus ซึ่งทำงานบน Dos โปรแกรม Foxpro ซึ่งมีหน้าที่ทำงานบน Dos และบน Windows, โปรแกรม Microsoft Access และในปัจจุบันมีโปรแกรม Visual Foxpro ซึ่งเป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่ทำงานบน Windows เช่นกัน
       2.2.4 โปรแกรมทางด้าน Graphic   โปรแกรม Graphic ส่วนมากแล้วจะเกี่ยวกับทางด้านงานออกแบบ เขียนแบบวาดภาพ จัดทำสิ่งพิมพ์และจะเป็นทางด้านการนำเสนองาน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานโฆษณา ทำ Slide Show หรือนำไปใช้กับระบบ Multimedia ได้ ปัจจุบันโปรแกรมกลุ่มนี้เป็นที่นิยมมาก
        สำหรับโปรแกรมที่ทำงานทางด้าน Graphic นั้น มีอยู่หลายโปรแกรมและแต่ละโปรแกรมนั้น ส่วนใหญ่จะทำงานคล้ายกัน แต่มีบางคำสั่งที่แตกต่างกันไปดังนี้
       CorelDraw และ Photoshop จะทำเกี่ยวกับงานออกแบบ วาดภาพ จัดทำ สิ่งพิมพ์ ตกแต่งภาพให้สวยงาม เหมาะกับงานทางด้านโฆษณา
       Harvard Graphic, Freelance Graphic และ PowerPoint เหมาะกับงานที่ต้องการนำเสนอ หรือแสดงออกโดยการสร้าง Slide Show สามารถนำภาพและเสียงมาประกอบกับงานได้ ทำให้ได้ Presentation ที่สวยงามออกมา
       PageMakerเหมาะกับงานประเภทสิ่งพิมพ์ ใช้สร้างโบรชัวร์ แผ่นพับ ใบปลิว นามบัตร และการทำหนังสือ โปรแกรมที่นิยมใช้กับโรงพิมพ์มาก
      2.2.5 โปรแกรมเกม (Game)   เป็นโปรแกรมที่แพร่หลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ และปัจจุบันนี้มีโปรแกรมเกมต่าง ๆ มากมาย ทั้งแบบธรรมดาและแบบ 3 มิติ ซึ่งที่จริงแล้วโปรแกรมเกมส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นมา เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในการทำงานแต่ละส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าเด็กจะเล่น เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินมากกว่า ผู้ใหญ่ควรควบคุมเกมที่เด็ก ๆเล่นด้วย เพราะบางเกมเป็นลักษณะของการต่อสู้ เพื่อให้เกิดชัยชนะ ซึ่งจะทำให้เด็กสร้างนิสัยผิด ๆ กลายเป็นเด็กที่ชอบเอาชนะคนอื่นชอบการต่อสู้ และอาจเป็นคนดุร้าย เห็นแก่ตัวได้

     2.2.6 โปรแกรมทางด้านการสร้างสถานการณ์จำลอง   เป็นโปรแกรมที่ให้ผู้เล่นได้ทดลองสร้างสถานการณ์จำลองของงานที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรืออาจจะเรียกว่า เกมส์ทางธุรกิจ โดยให้ผู้เล่นได้รู้จักวางแผนในการทำงาน คิดถึงผลกำไรขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รู้จักจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ให้ได้ผลกำไรมากที่สุด

     2.2.7  โปรแกรมทางด้านการติดต่อสื่อสาร  เป็นโปรแกรมที่มักนิยมใช้ตามสำนักงานต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนในการนัดหมายประชุม การทำจดหมายเวียนไปตามฝ่าย ต่าง ๆ โดยการเก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์แทนที่จะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ เพื่อแจ้งให้พนักงานทราบ ข้อดีของโปรแกรมชนิดนี้คือ ทำให้ประหยัดกระดาษลงไปได้มาก
      2.2. 8 โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  โปรแกรมประเภทนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า CAI (Computer Assisted Instruction) เป็นโปรแกรมที่นำมาสอนให้กับนักเรียนในวิชาต่าง ๆ โดยที่นักเรียนจะเรียนกับโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์และครูเป็นผู้ชี้แนะ ทดสอบ และวัดความเข้าใจ รวมทั้งสรุปเนื้อหาที่นักเรียนได้เรียนจากโปรแกรม CAI นี้ ปัจจุบันโปรแกรมประเภทนี้เริ่มนำเข้ามาใช้ในโรงเรียนแพร่หลายมากขึ้น เพราะทุกโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนของครูวิธีหนึ่ง ที่ทำให้นักเรียนไม่รู้สึกเบื่อ และสนใจการเรียนมากขึ้นด้วย   สำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะใช้สร้างโปรแกรม CAI นั้นได้แก่ โปรแกรม Authorware และโปรแกรม ToolBook เป็นต้น

2.2. 9 โปรแกรมทางด้านการออกแบบ  โปรแกรมนี้ได้เข้ามาช่วยออกแบบงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และงานออกแบบสินค้าต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างได้ทั้งแบบที่เป็นภาพ 2 มิติ และภาพ 3 มิติ  สำหรับโปรแกรมทางด้านออกแบบที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ได้แก่ โปรแกรม AutoCAD ใช้กับงานออกแบบ เขียนแบบ ทั้งแบบ 2มิติ เขียนวงจรไฟฟ้า เหมาะกับนักสถาปนิก นักออกแบบตกแต่ง วิศวกรไฟฟ้า นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมอื่นที่ใช้ร่วมกับ AutoCAD ได้อีกด้วย คือ โปรแกรม 3D Studio

คำถาม
1. ซอฟต์แวร์ระบบ ถ้าแบ่งตามหน้าที่การทำงานแบ่งเป็นอะไรบ้างอธิบายสรุป พอเข้าใจ


2. อธิบายความแตกต่างระหว่าง Assembler Interpreter และ Compiler

คอมพิวเตอร์กับงานสื่อประสม

สืบค้นข้อมูลแล้วตั้งคำถามและตอบเองตามหัวเรื่องต่อไปนี้ หัวเรื่องละ 2 ข้อ  ลงในช่องแสดงความคิดเห็น

1.  ความหมายของสื่อประสม
2.  องค์ประกอบของสื่อประสม
3.  ประโยชน์ของการนำสื่อประสมมาประยุกต์ใช้งานกับซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์
4.  อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่ใช้ในงานสื่อประสม

31 ม.ค. 2554

สื่อประสมตอนที่ 1

1. สื่อประสม คือ อะไร


2. องค์ประกอบของสื่อประสม มีอะไรบ้าง