22 ธ.ค. 2554

โครงงานคอมพิวเตอร์ ... ?

1. โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ …. ?


โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ กิจกรรมที่นำความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์มาใช้แก้ปัญหา หรือนำผลงานมาประยุกต์ใช้จริง โดยนักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า และปฏิบัติด้วยตนเองตามประสบการณ์ ความสามารถ หรือความสนใจ

2. โครงงานคอมพิวเตอร์มีประโยชน์ ดังนี้ คือ .... ?

2.1 ได้พัฒนาผลงานตามความรู้ ความสนใจและศักยภาพของตนเอง

2.2 ได้ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหาได้อย่างมีระบบ

2.3 สามารถวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจและอธิบายความต้องการทางคอมพิวเตอร์ และประยุกต์ความรู้ ทักษะและการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาได้

2.4 ได้ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น

2.5 ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

2.6 สื่อสารความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้านการพูด การเขียน รวมทั้งการเลือกรูปแบบการนำเสนอให้ผู้อื่นเข้าใจ

2.7 มีจิตสำนึกและความรับผิดชอบในการพัฒนาระบบ

3. โครงงานคอมพิวเตอร์ มี 5 ประเภท ได้แก่อะไรบ้างอธิบายความหมายของแต่ละประเภทพอเข้าใจ

3.1 โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา คือ โครงงานที่มีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำเสนอเนื้อหาบทเรียน

3.2 โครงงานการพัฒนาเครื่องมือ หมายถึง โครงงานเพื่อสร้างฮาร์ดแวร์ หรือพัฒนาซอฟต์แวร์

3.3 โครงงานการทดลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พิสูจน์ทฤษฎีจากการศึกษาค้นคว้า

3.4 โครงงานการประยุกต์ใช้งาน เป็นโครงงานที่นำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ดิจิตอลมาศึกษาและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจำวัน

3.5 โครงงานพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ เป็นโปรแกรมพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ศึกษาได้ศึกษาความต้องการของผู้ใช้งานและออกแบบโปรแกรมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ตามความเหมาะสม

21 ธ.ค. 2554

รู้หรือเปล่า ...?

1. อธิบายเกี่ยวกับประโยชน์การใช้งานของอุปกรณ์ต่อไปนี้ Joystick / stylus /flatbed scanner / OMR


2. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ทำหน้าที่อะไร

3. ความเร็วของ CPU ถูกควบคุมโดยสัญญาณอะไร

4. หน่วยวัดความเร็วของ CPU เรียกว่า อะไร

5. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) แบ่งเป็น 2 หน่วย ได้แก่ อะไรบ้าง

6. อธิบายความหมายและความสำคัญของหน่วยควบคุม และ หน่วยตรรกะ มาพอเข้าใจ

7. หน่วยประมวลผลกลาง(CPU) มีองค์ประกอบสำคัญ 2 องค์ประกอบ ได้แก่อะไรบ้าง

8. อธิบายความหมายของ เรจิสเตอร์ กับ บัส มาพอเข้าใจ

19 ธ.ค. 2554

โปรแกรมแปลภาษา ..... ?

โปรแกรมแปลภาษา เป็นซอฟต์แวร์หรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่แปล Source Program
ให้เป็น Object Program เนื่องจากภาษาระดับต่ำและภาษาระดับสูงเป็นภาษา
ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถรับรู้ได้ จำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้เป็นตัวแปลภาษา
ให้เป็นภาษาเครื่องเสียก่อน ซึ่งโปรแกรมแปลภาษาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

 1. ตัวแปลภาษาระดับต่ำ   ภาษาระดับต่ำแม้ว่าจะเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง แต่ลักษณะของภาษานี้ได้ใช้ตัว อักษรแทนชุดคำสั่งของเลขฐานสองในภาษาเครื่อง จึงจำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับต่ำ ให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับต่ำนี้ ได้แก่ โปรแกรมภาษาแอสแซมเบลอร์ (Assembler) ที่ใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่า แอสเซมบลี

2. ตัวแปลภาษาระดับสูง ภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่เขียนขึ้นมาเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานโดยใช้คำสั่งที่มนุษย์อ่านและเข้าใจได้แต่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจได้จึงต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับสูง ให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งโปรแกรมแปลภาษาระดับสูงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

       2.1 คอมไพเลอร์ (Compiler) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ลักษณะการแปลภาษาระดับสูงของคอมไพเลอร์นั้น เป็นลักษณะการตรวจสอบคำสั่งที่รับเข้ามาว่าการเขียนคำสั่ง นั้นถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาหรือไม่
ถ้ายังไม่ถูกต้องก็จะแจ้งข้อผิดพลาด ให้ผู้ใช้ทราบ เพื่อจะได้ทำการแก้ไข ให้ถูกต้อง
ถ้าหากตรวจสอบแล้วถูกต้อง ก็จะแปลจาก Source Program ให้เป็น Object Program

เก็บไว้ ในหน่วยความจำ และถ้ามีการ แก้ไขเปลี่ยนแปลงชุดคำสั่งใหม่ จะต้องมีการแปลชุดคำสั่งใหม่ทั้งโปรแกรม เพื่อเก็บเป็น Object Program อีกครั้งหนึ่ง การใช้คอมไพเลอร์ ถ้าเป็นชุดคำสั่งที่ต้องการทำการประมวลผลต่อเนื่องกันหลาย ๆ ครั้งจะทำให้การประมวลผลเร็ว เพราะไม่ต้องแปลใหม่อีกสามารถเรียกใช้ Object Program ได้เลย ภาษาที่ใช้ตัวแปล ประเภทนี้ เช่น FORTRAN ,COBOL เป็นต้น

      2.2 อินเตอร์พลีตเตอร์ (Interpreter) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็น
ภาษาเครื่อง โดยทำการแปลชุดคำสั่งที่นำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ทีละคำสั่ง
และทำการประมวลผลทันที โดยไม่ต้องทำให้เป็น Object Program ถ้าหากพบข้อผิดพลาดโปรแกรมจะหยุดทำงานทันที เมื่อทำการแก้ไขเพิ่มเติมชุดคำสั่งก็ต้อง
แปลคำสั่งที่แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจึงทำการประมวลผลโดย ไม่ต้องแปลใหม่
หมดทั้งโปรแกรม แต่การใช้ อินเทอร์พลีตเตอร์ถ้าเป็นชุดคำสั่งที่ต้องการทำการประมวลผลต่อเนื่องกันหลาย ๆ ครั้งจะทำให้การประมวลผลช้างลง เพราะต้องแปลใหม่ทุกครั้งที่มีการประมวลผล ภาษาที่ใช้ตัวแปลประเภทนี้ เช่น PASCAL, BASIC เป็นต้น

ตอบคำถามดูหน่อย
1. โปแกรมแปลภาษาคือ .... ?

2. โปรแกรมแปลภาษาทำหน้าที่.... ?
3. โปรแกรมแปลภาษาแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
4. ตัวแปลภาษาระดับต่ำ ทำหน้าที่ ... .?
5. แอสแซมเบลอร์ คือ ....?
6. ตัวแปลแปลภาษาระดับสูง ทำหน้าที่ …?
7. ตัวแปลภาษาระดับสูงแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
8. คอมไพเลอร์ กับ อินเตอร์พลิตเตอร์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

8 ธ.ค. 2554

ผังงานการเขียนโปรแกรมแบบลำดับ

ตัวอย่างที่ 1 จงเขียนโปรแกรมหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งมีความกว้างตามที่ผู้ใช้กำหนด
  1. สิ่งที่โจทย์ต้องการ    คำนวณหาพื้นที่รูปสี่เหลี่่ยมจตุรัสแล้วแสดงผล
  2. รูปแบบของผลลัพธ์ 
  3. ข้อมูลนำเข้า
           - ความกว้างของสี่เหลี่ยม
  4. ตัวแปรที่ใช้
           w   แทน ความกว้าง
          area แทน พื้นที่รูปสี่เหลี่ยม
  5. ขั้นตอนการประมวลผล
       1. รับ  w
       2. คำนวณ   area = w*w
       3. แสดงผล
   6. ผังงาน

การเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง

โครงสร้างในการเขียนโปรแกรมมี 3 แบบ ได้แก่
     1.  โครงสร้างแบบลำดับ(Sequential Structure)  เป็นโครงสร้างที่แสดงขั้นตอนการทำงานที่เรียงเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง จากคำสั่ง 1 ไปคำสั่ง 2 ต่อไปจนถึงคำสั่งสุดท้ายและแต่ละคำสั่งมีการทำงานเพียงคร้ังเดียวเท่านั้น



     2.  โครงสร้างแบบทางเลือก (Selection Structure) เป็นโครงสร้างที่มีการตรวจสอบเงื่อนไขในการตัดสินใจ แบ่งเป็น
           2.1 โครงสร้างแบบมีทางเลือก 2 ทาง




           2.2 โครงสร้างแบบมีทางเลือกมากกว่า 2 ทาง

     3.  โครงสร้างแบบทำซ้ำ (Repetition Structure)  เป็นโครงสร้างที่มีการสั่งให้ทำงานชุดคำสั่งนั้นๆ ในลักษณะวนซ้ำหลายๆ รอบ โดยมีการตรวจสอบเงื่อนไขเพื่อตัดสินใจระหว่างทำซ้ำรอบต่อไปหรือเลิกทำซ้ำ โครงสร้างแบบนี้มี 2 ลักษณะ คือ
          3.1  การทำซ้ำตราบเท่าที่เงื่อนไขเป็นจริง (  Do  while)
          3.2  การทำซ้ำจนกระทั่งเงื่อนไขเป็นจริง  (Do until)



6 ธ.ค. 2554

การเขียนผังงาน ( Flowchart )


ผังงาน คือ แผนภาพที่มีการใช้สัญลักษณ์รูปภาพและลูกศรที่แสดงถึงขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมหรือระบบทีละขั้นตอน รวมไปถึงทิศทางการไหลของข้อมูลตั้งแต่แรกจนได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ประโยชน์ของผังงาน


• ช่วยลำดับขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม และสามารถนำไปเขียนโปรแกรมได้โดยไม่สับสน

• ช่วยในการตรวจสอบ และแก้ไขโปรแกรมได้ง่าย เมื่อเกิดข้อผิดพลาด

• ช่วยให้การดัดแปลง แก้ไข ทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

• ช่วยให้ผู้อื่นสามารถศึกษาการทำงานของโปรแกรมได้อย่างง่าย และรวดเร็วมากขึ้น


วิธีการเขียนผังงานที่ดี


• ใช้สัญลักษณ์ตามที่กำหนดไว้

• ใช้ลูกศรแสดงทิศทางการไหลของข้อมูลจากบนลงล่าง หรือจากซ้ายไปขวา

• คำอธิบายในภาพควรสั้นกระทัดรัด และเข้าใจง่าย

• ทุกแผนภาพต้องมีลูกศรแสดงทิศทางเข้า - ออก

• ไม่ควรโยงเส้นเชื่อมผังงานที่อยู่ไกลมาก ๆ ควรใช้สัญลักษณ์จุดเชื่อมต่อแทน

• ผังงานควรมีการทดสอบความถูกต้องของการทำงานก่อนนำไปเขียนโปรแกรม

ตัวอย่างสัญลักษณ์ที่สำคัญในการเขียนผังงาน 

31 พ.ค. 2554

หลักการทำงานและการเลือกใช้คอมพิวเตอร์

1. อธิบายขั้นตอนการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์  4 ขั้นตอน พร้อมระบุชนิดของอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในแต่ละขั้นตอน

ความแตกต่างระหว่าง LCD กับ CRT

จอภาพ (monitor) เป็นอุปกรณ์เอาต์พุตชนิดหนึ่ง ซึ่งจะนำสัญญาณที่ได้รับ การประมวลผลจากCPUที่ต่ออยู่บนเมนบอร์ด โดยมีการ์ดจอภาพเป็นตัวควบคุมสัญญาณให้มาปรากฎบนหน้าจอ สรุปว่าเมื่อต้องการให้จอภาพแสดงออกมาที่หน้าจอได้ จะต้องมีอุปกรณ์ 2 ชิ้นคือ จอภาพและการ์ดแสดงผลจอภาพ

ประเภทของจอภาพ   แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1.1 จอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube)

1.2 จอภาพแบบ LCD (Liquid Crystal Display)


1.1 จอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube) คือ หลอดภาพที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคแรกๆ มีลักษณะคล้าย TV กินไฟมากและมีไฟแรงสูงเป็นหมื่นโวลต์ สำหรับควบคุมอิเล็กตรอนในการทำให้เกิดภาพ จอCRT สามารถแบ่งออกตามสีที่แสดงออกมาบนหน้าจอได้สองแบบคือ จอภาพสีเดียว(Monochrome) และจอภาพสี(Color)

           1.1.1 จอภาพสีเดียว(Monochrome) หมายถึงจอภาพที่มีสีพื้นเป็นสีดำและแสดงตัวอักษรออกมาเพียงสีเดียว สีที่พบเห็นทั่วๆ ไป คือ สีขาว สีเขียว สีส้ม เป็นต้น

           1.1.2 จอภาพสี (Color) เป็นจอภาพที่แสดงสีได้หลายสีเหมาะกับงานด้าน

กราฟฟิกและมัลติมีเดีย



1.2 จอภาพแบบ LCD (Liquid Crystal Display) จอภาพแบบแอลซีดีซึ่งมีลักษณะแบนราบจะมีขนาดเล็ก และบาง เมื่อเปรียบเทียบกับจอภาพแบบซีอาร์ที หากจอภาพแบบแอกตีฟแมทริกซ์สามารถพัฒนาให้มีขนาดใหญ่กว่า 15 นิ้วได้    การนำมาใช้แทนจอภาพซีอาร์ทีก็จะมีหนทางมากขึ้น ความสำเร็จของจอภาพแอลซีดีที่จะเข้ามาแข่งขันกับจอภาพแบบซีอาร์ที  อยู่ในเงื่อนไขสองประการคือ

1. จอภาพแอลซีดีมีราคาแพงกว่าจอภาพซีอาร์ที และมีขนาดจำกัดในอนาคตและมีโน้มด้านราคาของจอภาพแอลซีดีจะลดลงได้อีกมาก

2. เทคโนโลยีสำหรับอนาคตมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้จอภาพแอลซีดีขนาดใหญ่



ความแตกต่างระหว่าง LCD กับ CRT

LCD เป็นแผงแสดงผลที่แตกต่างจาก CRT ตรงที่ตัว LCD ไม่ได้เปล่งแสงออกมาแต่ใช้หลักการควบคุมแสงจึงมีข้อเด่นมากมายเมื่อเปรียบเทียบกับ CRT จุดเด่นของ LCD จึงแสดงผลได้แม้ในสิ่งแวดล้อมที่มีแสงจ้าหรือ กลางแจ้ง การมองเห็นทำได้อย่างชัดเจนไม่เหมือนอุปกรณ์ที่กำเนิดแสง เช่น CRT ใช้กำลังไฟฟ้าต่ำมากโดยทั่วไปใช้กำลังไฟฟ้าเพียง1 - 10 MicroWatt per Cm ใช้แรงดันไฟฟ้าขับที่แรงดันไฟฟ้าต่ำ จึงใช้วงจร CMOS ที่ทำงานเพียง 3 Volt ก็สามารถขับ LCD ได้จึงใช้ในวงจรคอมพิวเตอร์หรือวงจรดิจิตอลทั่วไปได้ แหล่งจ่ายไฟสำหรับ LCD ใช้แหล่งเดียวและแรงดันไฟฟ้าระดับเดียวจึงไม่ยุ่งยากซับซ้อนในการใช้งานการแสดงผล LCD มีความคมชัดไม่มีการกระพริบหรือ ภาพสั่นไหวไม่สร้างสัญญาณเสียงรบกวน มีขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเบา แบนราบ ขนาดแสดงผลมีขนาดเหมาะสมกับการประยุกต์เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ผู้ออกแบบการแสดงผลทำได้ตามต้องการด้วนเทคโนโลยี LCD แสดงผลในลักษณะหลายสี เหมือนจอ CRT ได้การเชื่อมต่อไม่ต้องมีกลไกจึงทำให้ออกแบบประยุกต์ได้ง่าย