13 ธ.ค. 2561

ระบบทางเทคโนโลยี

เทคโนโลยี  หมายถึง  สิ่งที่มนุษย์สร้างหรือพัฒนาขึ้น ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง ชิ้นงาน และ วิธีการ

ระบบทางเทคโนโลยี    ประกอบด้วย ตัวป้อน   กระบวนการ และ ผลผลิต และในบางระบบอาจมีข้อมูลย้อนกลับ เพื่อช่วยปรับปรุง หรือแก้ไขการทำงานของระบบให้มีความสมบูรณ์ตามต้องการ

ระบบทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อน  หมายถึง  ระบบเทคโนโลยีที่ประกอบด้วยเทคโนโลยี ตั้งแต่ 2 ระบบย่อย (subsystems) ขึ้นไป โดยหากระบบย่อยใดทำงานผิดพลาด จะส่งผลต่อการทำงานของระบบใหญ่ ทำให้เทคโนโลยีทำงานได้ไม่สมบูรณ์ หรือทำงานผิดพลาด






ตัวป้อน    หมายถึง  ข้อมูล หรือสิ่งที่ป้อนเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ได้ผลผลิตออกมา สิ่งที่ป้อนเข้าสู่ระบบอาจมีมากกว่า 1 อย่าง
กระบวนการ   หมายถึง  ขั้นตอน หรือ วิธีการดำเนินการในระบบเพื่อให้ได้ผลผลิตตามวัตถุประสงค์
ผลผลิต   หมายถึง  ผลผลิตจากกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในระบบ ซึ่งอาจได้มาซึ่ง ผลิตภัณฑ์ หรือวิธีการทำงานใหม่ ๆ ที่ตอบสนองตามวัตถุประสงค์

ข้อมูลย้อนกลับ   หมายถึง  ข้อมูลที่ใช้ป้อนกลับเข้าไปในระบบ เพื่อปรับปรุงการทำงานของระบบให้ได้ตามวัตถุประสงค์ได้ดียิ่งขึ้น โดยแต่ระบบอาจมีหรือไม่มีก็ได้


ตัวอย่าง ระบบทางเทคโนโลยี                                                                                                               








                                      ตัวอย่างระบบเทคโนโลยี ของเครื่องปรับอากาศ                                           จาก : https://sites.google.com/a/pibul.ac.th/techno/home/-rabb-thang-thekhnoloyi-thi-sab-sxn

หลักการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ
 1)  ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบการทำการความเย็น (Refrigeration Cycle) มี
          1. คอมเพรสเซอร์ (Compressor) ของแอร์ แอร์บ้าน ทำหน้าที่ขับเคลื่อนสารทำ ความเย็นหรือน้ำยา (Refrigerant) ในระบบ โดยทำให้สารทำความเย็นมีอุณหภูมิ และความดันสูงขึ้น

          2. คอยล์ร้อน (Condenser) ทำหน้าที่ระบายความร้อนของสารทำความเย็น

          3. คอยล์เย็น (Evaporator) ทำหน้าที่ดูดซับความร้อนภายในห้องมาสู่สารทำความเย็น

          4. อุปกรณ์ลดความดัน (Throttling Device) ทำหน้าที่ลดความดันและอุณหภูมิของสาร ทำความเย็น โดยทั่วไปจะใช้เป็น แค็ปพิลลารี่ทิ้วบ์ (Capillary tube) หรือ เอ็กสแปนชั่นวาล์ว (Expansion Valve)

ระบบการทำความเย็นที่เรากำลังกล่าวถึงคือระบบอัดไอ (Vapor-Compression Cycle) ซึ่งมีหลักการทำงานง่ายๆคือ การทำให้สารทำความเย็น (น้ำยา) ไหลวนไปตามระบบ โดยผ่านส่วนประกอบหลักทั้ง 4 อย่างต่อเนื่องเป็น วัฏจักรการทำความเย็น (Refrigeration Cycle) โดยมีกระบวนการดังนี้
          1) เริ่มต้นโดยคอมเพรสเซอร์ทำหน้าที่ดูดและอัดสารทำความเย็นเพื่อเพิ่มความดันและอุณหภูมิของน้ำยา แล้วส่งต่อเข้าคอยล์ร้อน

          2) น้ำยาจะไหลวนผ่านแผงคอยล์ร้อนโดยมีพัดลมเป่าเพื่อช่วยระบายความร้อน ทำให้น้ำยาจะที่ออกจากคอยล์ร้อนมีอุณหภูมิลดลง (ความดันคงที่) จากนั้นจะถูกส่งต่อให้อุปกรณ์ลดความดัน

          3) น้ำยาที่ไหลผ่านอุปกรณ์ลดความดันจะมีความดันและอุณหภูมิที่ต่ำมาก แล้วไหลเข้าสู่คอยล์เย็น (หรือที่นิยมเรียกกันว่า การฉีดน้ำยา)

          4) จากนั้นน้ำยาจะไหลวนผ่านแผงคอยล์เย็นโดยมีพัดลมเป่าเพื่อช่วยดูดซับความร้อนจากภายในห้อง เพื่อทำให้อุณหภูมิห้อง ลดลง ซึ่งทำให้น้ำยาที่ออกจากคอยล์เย็นมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น (ความดันคงที่) จากนั้นจะถูกส่งกลับเข้าคอมเพรสเซอร์เพื่อทำการหมุนเวียนน้ำยาต่อไป

หลังจากที่เรารู้การทำงานของวัฏจักรการทำความเย็นแล้วก็พอจะสรุปง่ายๆได้ดังนี้

          1) สารทำความเย็นหรือน้ำยา ทำหน้าที่เป็นตัวกลางดูดเอาความร้อนภายในห้อง (Indoor) ออกมานอกห้อง (Outdoor) จากนั้น น้ำยาจะถูกทำให้เย็นอีกครั้งแล้วส่งกลับเข้าห้องเพื่อดูดซับความร้อนอีก โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดการ ทำงานของคอมเพรสเซอร์

          2) คอมเพรสเซอร์เป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวในระบบที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนน้ำยาผ่านส่วนประกอบหลัก คือคอยล์ร้อน อุปกรณ์ ลดความดัน และคอยล์เย็น โดยจะเริ่มทำงานเมื่ออุณหภูมิภายในห้องสูงเกินอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ และจะหยุดทำงาน เมื่ออุณหภูมิ ภายในห้องต่ำกว่าอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ ดังนั้นคอมเพรสเซอร์จะเริ่ม และหยุดทำงานอยู่ตลอดเวลาเป็นระยะๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิ ห้องให้สม่ำเสมอตามที่เราต้องการ

ระบบ Inverter คืออะไร
ระบบอินเวอร์เตอร์ คือระบบควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ที่จะแปลงไฟกระแสสลับ (AC) จากแหล่งจ่ายไฟทั่วไปที่มีแรงดัน และความถึ่คงที่ ให้เป็นไฟกระแสตรง (DC) โดยวงจรคอนเวอร์เตอร์ (Converter Circuit) จากนั้นไฟกระแสตรงจะถูกแปลงเป็นไฟกระแสสลับ ที่สามารถปรับขนาดแรงดันและความถึ่ได้โดยวงจรอินเวอร์เตอร์ (Inverter Circuit)
การทำงานของเครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์จะแตกต่างจากเครื่องปรับอากาศทั่วไป ตรงที่อินเวอร์เตอร์เมื่อเริ่มเปิดเครื่อง อุณหภูมิจะค่อยๆ ลดลงถึงระดับที่ตั้งไว้ หลังจากนั้น คอมเพรสเซอร์จะปรับรอบการทำงานลงเพื่อคงอุณหภูมิภายในห้องให้คงที่ ตลอดเวลา ในขณะที่เครื่องปรับอากาศที่ไม่ใช่อินเวอร์เตอร์ เมื่อเริ่มเปิดเครื่อง อุณหภูมิจะค่อยๆ ลดลงต่ำกว่าระดับที่ตั้งไว้ ประมาณ 1-2 องศา หลังจากนั้น คอมเพรสเซอร์จะตัดการทำงาน จากนั้นอุณหภูมิจะค่อยๆ สูงขึ้น เกินระดับที่ตั้งไว้ 1-2 องศา คอมเพสเซอร์ก็จะเริ่มทำงานอึกครั้ง ทำให้อุณหภูมิภายในห้องจะเย็นเกินไป สลับกับร้อนเกินไปอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเวลานอนหลับ จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว หลับๆ ตื่นๆได้


21 พ.ย. 2561

ไฟเขียวปรับมาตรฐานวิชาชีพความรู้ฯ ในมาตรฐานวิชาชีพครู เหลือ 4 ด้าน

บอร์ดคุรุสภา ไฟเขียวปรับมาตรฐานวิชาชีพความรู้ฯ ในมาตรฐานวิชาชีพครู เหลือ 4 ด้าน เน้นสมรรถนะความรู้ของผู้เรียน ชี้ ให้สถาบันจัดการศึกษานำไปใช้ปรับปรุงการสอนให้สอดคล้อง
วันนี้ (19 พ.ย.) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ว่า ที่ประชุมคุรุสภามีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพครู (กมว.) เสนอปรับปรุงมาตรฐานวิชาชีพครู โดยเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบในด้านมาตรฐานความรู้และวิชาประสบการณ์วิชาชีพ จาก 11 ด้าน ลดเหลือ 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านค่านิยมและลักษณะความเป็นครู เช่น ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีมรคุณธรรมและจริยธรรม, ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพครู ฯลฯ 2. ด้านความรู้และศาสตร์การสอน เช่น ติดตามการเปลี่ยนแปลงบริบทของโลกและรู้เท่าทันสังคม บูรณาการความรู้ เนื้อหาวิชา หลักสุูตร ศาสตร์การสอนและเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนรู้ ฯลฯ 
3. การปฏิบัติงานในหน้าที่ครู เช่น พัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ สื่อ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ วางแผนและจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาผู้เรียนให้มีปัญญารู้คิด และมีความเป็นนวัตกร ฯลฯ และ 4. ความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน เช่น ร่วมมือกับผู้ปกครองในการพัฒนาและแก้ปัญหาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ สร้างเครือข่ายความร่วมมือผู้ปกครองและชุมชน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากนี้คุรุสภาจะต้องไปดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ คือ ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556 และประกาศคุรุสภา เรื่อง การรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษาเพื่อการประกอบวิชาชีพ พ.ศ. 2557 
“คุรุสภาไม่ได้ประกาศมาตรฐานวิชาชีพครูใหม่ เนื่องจากในมาตรา 49 ของ พ.ร.บ. สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 กำหนดมาตรฐานวิชาชีพครู ประกอบด้วย 3 มาตรฐานหลัก ได้แก่ มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน เพราะฉะนั้น ครั้งนี้เป็นแค่แก้ไขเล็กน้อยในมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ จาก 11 ด้าน เหลือ 4 ด้าน ซึ่งแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยหลักเน้นเรื่องของสมรรถนะความรู้ให้ชัดเจนขึ้น เพราะจะมีผลต่อการนำไปใช้จัดการเรียนการสอน ซึ่งเมื่อเป้าหมายกำหนดว่าสอนเน้นสมรรถะการจัดการสอนต้องเน้นเรื่องเดียวกัน” นพ.ธีระเกียรติ กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นจัดการสอนครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ว่า จะใช้หลักสูตร 4 ปีหรือ 5 ปีนั้น เป็นเรื่องของสถาบันการศึกษา ไม่เกี่ยวกับคุรุสภาหรือตนจะไปบอกว่าจัดกี่ปี อีกทั้งกฎหมายกำหนดชัดเจนว่า ผู้มาขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูต้องเป็นจบปริญญาตรี เพียงแต่ว่าสถาบันการศึกษาต้องจัดสอนให้ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพที่คุรุสภากำหนด และเท่าที่ติดตามข่าวทราบว่าสถาบันการศึกษาจะจัดหลักสูตร 4 ปี แต่ไม่ว่าจะจัดหลักสูตร 4 ปีหรือ 5 ปีก็ต้องจัดสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพครู
ทั้งนี้ สำหรับการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ขณะนี้ทางคุรุสภาได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาเรื่องดังกล่าว ส่วนจะต้องมีผลย้อนหลังไปถึงผู้ที่เข้าเรียนปีการศึกษา 2557-2558 หรือไม่นั้นตรงนี้ยังไม่มีข้อยุติ ขอให้ใจเย็นๆให้ผู้เกี่ยวข้องได้ไปดูรายละเอียดก่อน



ที่มา   : https://mgronline.com/qol/detail/9610000115235


30 พ.ค. 2559






แบบฝึกหัดที่ 1 หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

การบ้าน 
      1.   นักเรียนคัด เนื้อหาในหนังสือเรียน เรื่องการวัดขนาดของหน่วยความจำ (หน้า 29) และตอบคำถามต่อไปนี้
          1.1 นายแดงซื้อ flash drive ขนาดความจุ 1 MB  นายดำ ซื้อ flash drive ขนาดความจุ 1 GB 
              Flash drive ของใคร บันทึกข้อมูลได้มากกว่ากัน
          1.2  ถ้านำ  flash drive ขนาดความจุ 8 GB  มาบันทึกเพลง MP3 ซึ่งใช้พื้นที่ในหน่วยความจำเพลงละประมาณ 4 KB  จะได้ประมาณกี่เพลง

     2. นักเรียนคัดเนื้อหาในหนังสือเรียน หน้า 39 - 40  หัวข้อ 6.2  ออปติคัลดิสก์   แล้ว ตั้งคำถามเอง-ตอบเอง  5 ข้อ โดยถามในเชิงเปรียบเทียบ ระหว่าง ออปติคัลดิสก์แต่ละชนิด


......................................................................................................................

12 ม.ค. 2559

โปรแกรม Windows movie maker

                         โดยปกติถ้าเราจะทำวีดีโอ Presentation หรือตัดต่อวีดีโอ เราจะใช้โปรแกรม Sony Vegas หรือ Proshow Gold แต่โปรแกรมที่พูดถึง มีขั้นตอนที่อาจจะยุ่งยากสักนิดนึง สำหรับคนที่ยังไม่เคยใช้หรือมือใหม่หัดทำ อีกทางเลือกหนึ่งของการทำวีดีโอแบบง่ายๆ ที่เด็กๆ ป.2 - ป.3 ก็สามารถทำวีดีโอของตนเองได้ คือใช้โปรแกรมที่มากับ Windows ชื่อโปรแกรม windows movie maker  อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม .....คลิกที่นี่      หรือ ชมจากวีดีโอต่อไปนี้    และสามารถดาวนโหลดโปรแกรมโดย คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม












                    

5 ม.ค. 2559

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 อินเตอร์เน็ตและการใช้งาน


ความหมายของอินเทอร์เน็ต
        อินเทอร์เน็ต (Internet) มาจากคำว่า Inter Connection Network หมายถึง เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน ลักษณะของระบบอินเทอร์เน็ต เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง โดยไม่กำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจจะผ่าน
จุดอื่น ๆ หรือ เลือกไปเส้นทางอื่นได้หลาย ๆ เส้นทาง


พัฒนาการของอินเทอร์เน็ต 
อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากโครงการวิจัยทางการทหารของกระทรวงกลาโหมของประเทศ สหรัฐอเมริกา คือAdvanced Research Projects Agency (ARPA) ในปี1969 โครงการนี้เป็นการวิจัยเครือข่ายเพื่อ
การสื่อสารของการทหารในกองทัพอเมริกา หรืออาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า ARPA Net ในปี ค.ศ. 1970 ARPA Net ได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นโดยการเชื่อมโยงเครือข่ายร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา คือ มหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาบารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแองเจลิส และสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการใช้ อินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
สำหรับในประเทศไทย อินเทอร์เน็ตเริ่มมีการใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ที่มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโครงการ IDP (The International Development Plan) เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถติต่อสื่อสารทาง
อีเมลกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลียได้ ได้มีการติดตั้งระบบอีเมลขึ้นครั้งแรก โดยผ่านระบบโทรศัพท์ ความเร็วของโมเด็มที่ใช้ในขณะนั้นมีความเร็ว 2,400 บิต/วินาที จนกระทั่งวันที่ มิถุนายน พ.ศ. 2531 ได้มีการส่งอีเมลฉบับแรกที่ติดต่อระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงเปรียบเสมือนประตูทางผ่าน (Gateway) ของไทยที่เชื่อมต่อไปยังออสเตรเลียในขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2533 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของสถาบันการศึกษาของรัฐ โดยมีชื่อว่า เครือข่ายไทยสาร (Thai Social/Scientific Academic and Research Network : ThaiSARN) ประกอบด้วย มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ เพื่อการศึกษาและวิจัย
ในปี พ.ศ. 2538 ได้มีการบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ขึ้น เพื่อให้บริการแก่ประชาชน และภาคเอกชนต่างๆ ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตไทยแลนด์ (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
(Internet Service Provider: ISP) เป็นบริษัทแรก เมื่อมีคนนิยมใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น บริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต
จึงได้ก่อตั้งเพิ่มขึ้นอีกมากมาย


การทำงานของอินเทอร์เน็ต
        การสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะมีโปรโตคอล (Protocol) ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานของการเชื่อมต่อกำหนดไว้ โปรโตคอลที่เป็นมาตรฐานสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คือ TCP/IP
(Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะต้องมีหมายเลขประจำเครื่อง ที่เรียกว่า IP Address เพื่อเอาไว้อ้างอิงหรือติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่าย ซึ่ง IP ในที่นี้ก็คือ Internet Protocol ตัวเดียวกับใน TCP/IP นั่นเอง IP address ถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหนึ่งขนาด 32 บิต ใน 1 ชุดนี้จะมีตัวเลขถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆ กัน เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนเพื่อความง่ายแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละส่วนด้วยจุด (.) ดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนนี้จึงมีค่าได้ไม่เกิน 256 คือ ตั้งแต่ 0 จนถึง 255 เท่านั้น เช่น IP address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของสถาบันราชภัฎสวนดุสิต คือ 203.183.233.6 ซึ่ง IP Address ชุดนี้จะใช้เป็นที่อยู่เพื่อติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่าย

ที่มา :  https://sites.google.com/site/kruratipipatsri/4-1-khwam-hmay-laea-phathnakar-khxng-xinthexrnet


  ใบงานที่ 1     ใบงานที่ 2